อันดับแรกคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บาดแผลกับรอยแผลเป็นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นคุณจะไม่สามารถดูแลบาดแผลและรอยแผลเป็นด้วยวิธีเดียวกันได้อย่างแน่นอน
บาดแผลจะมีลักษณะเลือดออกบริเวณที่บาดเจ็บและมีอาการบวมร่วมด้วย ในขณะที่รอยแผลเป็นจะมีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลเข้มหรืออ่อน ๆ และมีอาการแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ร่วมด้วย โดยรอยแผลเป็นนั้นมักสร้างความกังวลใจให้กับหลายคนไม่ใช้น้อย เพราะในช่วงระยะแรกของการมีรอยแผลเป็นนั้นจะมีความเด่นชัดบนผิวหนังอย่างมาก จนทำให้เสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต บางครั้งอยากแต่งตัวเปิดหลังเปิดไหล่ก็ไม่สามารถทำได้
โดยวิธีการดูแลรักษาบาดแผลและรอยแผลเป็นนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป
บาดแผลสามารถรักษาได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบ รวมถึงล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาดเท่านั้น เนื่องจากบาดแผลยังมีโอกาสที่สามารถติดเชื้อจากสิ่งสกปรกได้ ดังนั้นคุณต้องดูแลบาดแผลด้วยการรักษาแผลให้สะอาดอยู่เสมอ
แต่หากเป็นรอยแผลเป็นล่ะ จะต้องดูแลรักษาอย่างไร ?
วิธีนี้จะช่วยรักษาการสูญเสียน้ำออกจากบริเวณรอยแผล ช่วยลดการทำงานเส้นเลือดฝอย และลดกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ไฟโบรลาสต์ โดยซิลิโคนจะสามารถช่วยทำให้สีของแผลจางลงและลักษณะของแผลแบนราบลงได้
โดยต้องนำมาซิลิโคนมาปิดบริเวณแผลมากกว่าวันละ 12 ชั่วโมง และต้องใช้เวลารักษาประมาณ 4-6 เดือน
วิธีนี้จะช่วยลดการอักเสบของแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ โดยแนะนำว่าให้ฉีดยาสเตียรอยด์บริเวณแผลเป็นในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีหลังจากเริ่มมีรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ แต่ระยะเวลาการนัดฉีดสเตียรอยด์นั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพแผลว่า คุณมีการตอบสนองต่อยาสเตียรอยด์อย่างไรบ้าง
ซิลิโคนเจลมีคุณสมบัติในการปรับความยืดหยุ่นของแผล ให้ความชุ่มชื่นกับแผล ช่วยลดรอยแดง ลดรอยนูน ป้องกันแบคทีเรียและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแผลเป็นที่เหมาะกับการใช้ซิลิโคนเจล มีดังนี้
โดยลักษณะแผลเป็นที่กล่าวไปข้างต้น คุณสามารถเลือกใช้ซิลิโคนเจล Strataderm ที่สามารถป้องกันรอยแผลเป็นทั่วไป ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื่นให้กับแผลเป็น ทำให้แผลเป็นที่แข็งมีความอ่อนนุ่มลง และดูเรียบเนียนขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง 6 เดือน มั่นใจได้ว่าปลอดภัย ใช้ทาง่าย ทาได้ทุกวัน กดสั่งซื้อได้เลย
บาดแผลกับรอยแผลเป็นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นคุณจะไม่สามารถดูแลบาดแผลและรอยแผลเป็นด้วยวิธีเดียวกันได้อย่างแน่นอน